Friday, October 30, 2009

Monday, August 3, 2009

Monday, October 20, 2008

Mathcamp2008 ณ ฟาว์นเท่นทรีรีสอร์ท คาวบอยแอนด์แอดเวนเจอร์

นักเรียนทุกคนกรุณาดูให้เต็มตา

คนเหล่านี้คืออาจารย์นิสิตวิชาคณิตศาสตร์ของพวกท่านเอง จ๊ากกกก ก กก

และคนที่ชักดิ้นชักงอเป็นสง่าอยู่นี่คือ ครูพี่ตั้ม อั้มๆๆๆๆๆ ม ผู้ที่สวยและรวยมาก(อย่ามาแรง!!!)

ถ้ายังไม่พอใจ ไปดูอีกสอง

แดนซ์กันเข้าไป ต่อกันเลย ไปย์ย์ย์ย์ย์ ย์ ย์ย์

หมดแล่ว

ค่ายปีหน้าถ้าว่างก็ช่วยไปๆกันหน่อยนะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะเนี่ยะ) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมาก

ทั้งเพนท์บอล ยิงธนู เอทีวี ซูเปอร์บอล โอ้ย สาระพัด สนุกดีแฮ

Thursday, July 31, 2008

ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่85




เมื่อวันก่อนเพิ่งได้อ่านหนังสือเรื่อง ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ ของ วินทร์ เลียววาริณ

เรื่องราวนั้นเกี่ยวกับ สาย ธารี ผู้ได้รู้จักกับผู้คนมากมายที่ทำให้เขาระลึกชาติได้ ทั้งสตีเฟ่น ฮอว์คิง(สตีเฟ่น ห่อกิ่ง), อะแซหวุ่นกี้, กิมย้ง, ดร.โหงวเป้ย, ชาญ บุ๊กเกอร์, รัฐมนตรี อันตร์ ชิตกุล, คุณxxx เจ้าของสำนักงานโกสต์ไรเตอร์, จอห์น นอนเล่น, ไอ้แบน, นักโทษผู้โดดเดี่ยวในคุก และอีกหลายๆคน

ทั้งนี้ สาย ธารี ยังได้เกิดในหลายๆชาติ แต่ละชาติก็กระแดะมีชื่อไม่ซ้ำกัน แต่ทุกชาตินั้น เขาได้พบรักกับสตรีนางหนึ่ง ซึ่งชื่อของนางนั้นไม่กระแดะเหมือน สาย ธารี ในทุกๆชาติ เธอจะมีนามว่า รตี

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่ คุณxxx สั่งให้สาย ธารี เขียนหนังสือเล่มหนึ่งมีนามว่า นิทานอีแสบ ประชดประชันการเมือง โดยรับคำสั่งมาจากรัฐมนตรี อันตร์ ชิตกุล ระหว่างทางเดินของช่องตึก ขณะที่เขากำลังแหงนหน้ามองต้นแสลงใจ เขาเดินชนกับหญิงสาวคนหนึ่งจนทำให้เข้ามีบาดแผลที่เท้าซ้าย แต่เขาไม่ใส่ใจ

จากนั้นมา เขาก็ได้พยายามคลี่คลายปริศนา เกี่ยวกับยันต์โหงวเป้ยหรือ เดอะ โกลเด้นเซคชั่น รอยบาดเจ็บที่เท้าซ้าย ต้นแสลงใจ ตัวเขาเอง รตี หนังสือนิทานอีแสบ และตัวตนในแต่ละชาติ

จนวันหนึ่งเขาคลี่คลายปริศนาเหล่านั้นเสร็จ และพบว่าสายเกินไปเสียแล้วที่จะพบรักกับ รตี วรรษรส ระหว่าที่เดินคิดอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นต้นแสลงใจอีกครั้ง โดยไม่ทันได้ดู เขาเดินชนกับหญิงสาวคนหนึ่งจนทำให้เขามีบาดแผลที่เท้าซ้าย สายไม่รอช้า รีบทำความรู้จักกับเธอ จึงรู้ว่าเธอกำลังจะไปเดินประท้วง นั่นคืออาชีพของเธอ(ถูกแล้ว อ่านไม่ผิดหรอก) สองคนสนิทกันจนวันหนึ่ง สายได้ขอหมั้น เธอก็(ดัน)รับหมั้น(ซะงั้นอ่ะ) ของหมั้นนั้นเป็นปากกาประจำตัวของเฃา

วันหนึ่ง รตีเดินทางไปพิษณุโลกทางเครื่องบิน

วันต่อมา สายได้รับข่างเครื่องบินตก. . .รตีเสียชีวิต ปากกาแท่งนั้นยังอยู่ในมือ

หลังจากนั้นมา สายได้เลิกอาชีพโกสต์ไรเตอร์ หันมาเขียนหนังสือจริงจังเล่มนึง ประสบความสำเร็จกับหนังสือเล่มนั้น

เขาไปแจกลายเซ็น จวนๆจะหมดเวลาแจก ได้มิผู้หญิงคนหนึ่งยื่นหนังสือให้เขาเซ็น เหมือนคนอื่นๆ

ปากกาของเขาเสือกหมึกหมด เลยขอยืมปากกาคนตรงหน้า

รับปากกามา เขาพบว่ามันเป็นปากกาประจำตัวของเขา. . .

เงยหน้ามองขึ้น ปะทะกับใบหน้านั้น

รตี ! ! !

Wednesday, July 16, 2008

งานเปิดกีฬาสีภายในโรงเรียนสาธิต มศว. ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม)


นี่คือสแตนด์เชียร์สีแดง

ส่วนนี่ของสีเขียว

นี่ก็สีเหลือง


นี่ป้ายโรงเรียน กับคนถือ


มาแล้วครับพี่น้อง ขบวนพาเหรดของเรา เริ่มด้วยสีเขียว


OOlala พญานาคแห่งท้องทะเลมาแหวกว่ายอยู่บนสนามฟุตบอล

นี่ขบวนสีแดง นำโดยอาจารย์เหมียว

สีแดงเค้าเปรียบว่าเป็นนรก (จึงจำเป็น)ต้องมีกระทะทองแดงขรั่บ

แล้วก็ต้องมีนักโทษ
และนางมารร้าย
สาวสวยประจำนรก

นี่ของสีน้ำเงิน เค้ามาจากสวรรค์เจ้าค่า พร้อมด้วยเทพต่างๆมากมาย


ดูเหมือนทุกอย่างลอกมาจากปีก่อนๆเต็มๆ





หลังจากที่การแข่งขันกีฬาและทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็มาทักทายกองเชีนร์กันอย่างใกล้ชิดดีกว่า เริ่มจากสีเขียว



ต่อด้วยสีแดง

ครูเหมียว พิมมี่ ? ปุยฝ้าย



สุดท้ายขอขอบคุณทุกๆคนค่ะ ที่เยี่ยมชมรูปภาพงานพิธีเปิดกีฬาสีภายใน โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรี-นคริทร์วิโรฒ ประสานมิตร(ฝ่ายมัธยม) เนื้อหาไม่ครบต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
Jinzmaii




























Muang Thai Napalai Theatre.


เช้าวันใหม่ ตื่นขึ้นมาตักบาตร

ท้องฟ้าดูขมุกขมัว ดูไม่ออกว่าเป็นเช้ามืดหรือหกโมงเย็นกันแน่


อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่เบื่อหน่ายที่จะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อันเห็นตั้งแต่เกิด


ท้องฟ้าก็เหมือนละคร Broadway ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง


Broadway ที่เล่นไม่ซำกันในแต่ละวัน


แต่ Broadway คณะเดิม เมื่อเล่นนานเข้า ความงด-งามก็ค่อยๆจางลง จึงต้องสรรหาคณะใหม่

เช่นเดียวกัน กับท้องฟ้าเมืองกรุง เห็นนานๆ ก็อยากเปลี่ยนไปดูแถวแถบชนบท

หรือบางคนอาจไม่เคยมองท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวด้วยซ้ำไป

วันหนึ่งๆวุ่นวายกับการทำงานง่กๆ เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

บางคนก็เอาไปเลี้ยงตัวกิเลส อยากรวย อยากมั่งมี อยากสบาย

จนไม่ได้สังเกตว่าละครบรอดเวย์ของเราเริ่มงอนๆแล้ว

ชั้นโอโซนบนท้องฟ้าที่คอยคุ้มกะลาหัวของเราทุกๆวัน ค่อยๆบางลงๆ

จนตอนนี้ฝ้าโรงละครเริ่มรั่วแล้ว

เป็นความจริงหรือ ที่ทุกคนบนโลกใบนี้ อยากให้เมืองไทยนภาลัยเทียร์เตอร์พังทลายลง

จริงหรือ?

Tuesday, July 15, 2008

เรื่องเล่าจากดอกไม้

ฉันควานหามือถือในกระเป๋าขึ้นมาดูเวลา เกือบสามทุ่มแล้ว คงสมควรจะปิดร้านแล้วสินะ ลูกค้าคงไม่มาแล้ว
กำลังจะดึงปลั๊กไฟป้ายหน้าร้านที่จะแสดงว่าตอนนี้หยุดบริการแล้ว ก็มีแสงไฟจากรถยนตร์ที่กำลังเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ชะงักยับยั้งมือที่กำลังจะดึงปลั๊ก พอไฟหน้ารถดับชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในร้าน
"สวัสดีค่า เชิญค่ะ" เขายิ้มขรึมๆ ตอบว่า "สวัสดีครับ เอ่อ! โทษนะครับผมเห็นว่าที่นี่เป็นร้านอาหาร แต่เห็นมีต้นไม้เยอะ ไม่แน่ใจว่าขายต้นไม้ด้วยมั๊ยครับ" เขาก็เหมือนกับลูกค้าหลายๆ คน ที่สับสนว่าร้านฉันจะเป็นร้านอะไรกันแน่
ฉันตอบว่า "ค่ะ หาต้นอะไรอยู่หรือเปล่าคะ" เขาตอบมาว่า "ครับ ผมอยากได้ต้นจำปีแขก" ฉันออกจะแปลกใจหน่อยๆ ไม่ค่อยเห็นผู้ชายมาถามหาต้นไม้แบบนี้ แต่ก็ตอบไปว่า "ไม่มีค่ะ แต่หากรอได้ เอาไว้ได้ไปรับต้นไม้มาเพิ่มจะหามาให้ค่ะ อยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ" เขาตอบว่า "เปล่าครับ ผมมาจากบางนา มาทำธุระกับเพื่อนแถวนี้ เขาอยากจะมาดูบ้าน ผมเลยมาเป็นเพื่อน เมื่อกลางวันผมก็ผ่านที่ร้านแล้วรอบนึง ก็กะว่าเดี๋ยวต้องมาแวะ แต่ก็ค่ำไปหน่อยน่ะครับ" ฉันจึงบอกเขาว่า "จำปีแขกไม่ใช่ต้นไม้หายากนัก คุณลองหาที่ต้นไม้ร้านใกล้ๆ ที่บ้านดูค่ะ" เขาบอกว่า "อ้อ! ครับ อืม ไม่ให้เสียเที่ยวผมทานอาหารละกันครับ ยังสั่งได้อยู่หรือเปล่าครับ" ฉันจึงบอกว่าได้ค่ะ แล้วเขาก็จัดการสั่งอาหารสักสองสามอย่าง
ระหว่างที่นั่งรอ ด้วยความที่ยังคาใจ อดสงสัยไม่ได้ จึงถามเขาไปว่า "ชอบต้นจำปีแขกเหรอคะ ทำไมถึงชอบ"
เขาไม่ตอบคำถามทันที นั่งดูตาลอยๆ สักพัก จนฉันไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะตอบหรือเปล่า จึงรีบชิงบอกไปว่า "ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องตอบก็ได้ แค่ลองถามดูน่ะค่ะ ว่าทำไมชอบต้นนี้" เขารีบตอบว่า "ไม่ใช่ไม่อยากตอบนะครับ แต่กำลังคิดว่าจะอธิบายยังไงดี คืออย่างนี้ครับ"
แล้วเขาก็เริ่มพูดยาวถึงความเป็นมาในการตามหาต้นจำปีแขก
เขาเล่ามาตามที่ฉันลำดับความได้ก็มีว่า
"ก่อนหน้านี้ ผมมีแฟนคนหนึ่งครับ จะว่าไปก็ถือว่ารักกันมากนะครับ เธอเป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที ตอนแรกที่รู้จักกันก็ไม่คิดว่าจะรักกันนะครับ เราเป็นเพื่อนกันธรรมดา ตอนนั้นผมเพิ่งอกหักจากแฟนเก่า แฟนเก่านั้นผมรักเขามาก เป็นรักสุดๆ ครั้งแรกในชีวิตผม ตั้งแต่ตอนผมเรียนป.ตรี เธอสวยและมีเสน่ห์ มีคนจีบเธอเยอะ แต่เธอเลือกผม เราก็คบๆ กัน แต่ตอนจบมาทำงานแล้ว เธอก็ได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง พอผมจบผมก็คิดว่าจะตั้งหน้าตั้งตาสร้างครอบครัวกับเธอ ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน แต่จู่ๆ เขาก็มาขอเลิกกับผม ผมยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอก็ไปจากผมแล้ว โดยที่ผมยังไม่มีโอกาสรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เดาเอาว่าเธอคงมีแฟนใหม่
ตอนนั้นผมเสียใจมากถึงขนาดเรียกว่าเข็ด ต่อมาผมก็มาเจอแฟนคนใหม่ที่พูดถึงนี้แหละ แรกๆ ที่รู้จักก็ไม่คิดว่าจะเป็นแฟนกัน แต่เธอเป็นคนดีครับ ดีจนผมรู้สึกว่าตั้งแต่ผมมีเธอเป็นเพื่อนผมรู้สึกว่าชีวิตผมสงบดีมันบอกไม่ถูก ผมรู้จักเธอมาสองปีก็รู้สึกว่าเป็นแฟนกันแล้ว จนผ่านไปสี่ปีผมกับเธอก็เป็นแฟนกันสมบูรณ์แบบ เธอมาใช้ชีวิตกับผมโดยผ่อนคอนโดอยู่ เราไม่ได้แต่งงานกัน ผมบอกไม่ถูกรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตแบบนั้น เธอก็ยังไม่อยากให้เราแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวในตอนนี้ มันเหมือนกับเราเห็นต้องคล้องกัน พ่อแม่เธออยู่ต่างประเทศครับ เธอจึงคิดว่าเธอสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ในเวลานี้ และเธอก็เป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบ เราตกลงใจมาอยู่ร่วมกันเพื่อดูใจไปสักพัก
ตอนที่มาอยู่ด้วยกันใหม่ ตอนนั้นผมก็เริ่มหาสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต จริงๆ แล้วพ่อแม่ก็พอจะมีสตางค์ให้ผมเก็บอยู่บ้าง แต่สุรุ่ยสุร่าย เงินก็หายไปเยอะ ผมไปลงทุนทำผับกับเพื่อนในตอนนั้น ลงทุนกับการตกแต่งไปเยอะ พอเปิดจริงๆ แรกๆ ก็เข้าเนื้อมาก จนไม่ไหว แต่ด้วยความที่ไม่อยากปิดตัวไป ผมก็ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนสู้ไป
แล้วแฟนผมก็ช่วย ช่วยจนเรียกได้ว่ามีเท่าไหร่เธอให้หมด
ขนาดขายรถให้ผมด้วย รถเธอยังใหม่ๆ พ่อแม่เธอซื้อให้ไม่นาน แต่เราก็คิดว่าเราใช้รถผมคันเดียวก็พอ"
คิดว่าตอนนั้นฉันคงทำหน้างงเล็กน้อย เขาจึงเดาคำถามในใจฉันได้ว่า "ทำไมเขาไม่ขายรถของเขาเอง?เขาจึงชิงตอบก่อนว่า "พอดีรถผมมันขายไม่ได้ครับ พ่อผมซื้อให้ยังเป็นชื่อเขาไม่ได้โอน และการพูดกับพ่อมันก็ยากมากๆ แฟนผมจึงตัดปัญหาช่วยผมแก้สถานการณ์ก่อน"
แล้วเขาก็เริ่มเล่าต่อไป
"หลังจากกู้สถานการณ์มาด้วยความลำบาก เธอก็เป็นเพื่อนเคียงข้างผมมาตลอด อ้อ! ผมเกือบลืมเล่าไปครับว่า ตอนที่เธอมาอยู่กับผมใหม่ๆ ปกติเธอจะเป็นคนที่ชอบต้นไม้มาก อยู่บ้านเธอก็ชอบปลูก โดยเฉพาะไม้หอมไทยๆ แต่มาอยู่คอนโดกับผมก็ลำบากหน่อย แต่เธอก็ยังปลูกได้อีก เธอปลูกในกระถาง ไว้ตรงระเบียงห้อง ผมจำได้เธอปลูกต้นจำปีแขกเป็นพุ่ม เธอบอกว่ามันปลูกในกระถางได้ และมีดอกหอม ตอนมันออกดอกเธอชวนผมไปชื่นชมบ่อย แต่ผมเป็นคนที่ไม่สนใจเอาเสียเลย ก็เออออกับเธอไปตามเรื่อง
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาได้เกือบสองปี ไม่เคยมีปัญหา ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไร และผมก็คิดว่าชินกับการมีเธออยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างแล้ว
แต่แล้วคงจะเป็นกรรมของผมเอง จู่ๆ แฟนเก่าที่เคยทิ้งผมไปก็กลับมาหาผมอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าผมลืมแฟนปัจจุบันไปเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าผมหลงแฟนเก่าผมเอามากๆ อีกครั้ง เธอบอกว่าเธอไม่มีใครและรู้แล้วว่าเธอต้องการผม ความรู้สึกเก่าๆ มันกลับมาหาผม จนถึงขนาดว่าผมมีความคิดว่าทำยังไงแฟนคนปัจจุบันถึงจะไปจากผม ผมไม่สามารถบอกเธอตรงๆ ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่ผิดอะไร แต่หากเทียบความรู้สึก ความต้องการที่อยากจะใช้ชีวิตกับแฟนเก่ามีมากเหลือเกิน เพราะก่อนที่เธอจะจากไปเราเป็นแค่เพียงแฟนกันธรรมดา และผมเคยคิดจะสร้างครอบครัวกับเธอ เรื่องมันยุ่งจนถึงที่ว่าผมได้เสียกับแฟนเก่าแล้ว ทำให้ความพยายามที่จะเลิกกับแฟนคนปัจจุบันมีมากขึ้น ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าแฟนคนปัจจุบันรู้ว่าผมกลับไปหาแฟนเก่า
แต่เขาไม่พูด ไม่โวยวาย และยังดีกับผมปกติ ผมรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว
วันหนึ่งผมบอกเธอว่า ผมรู้สึกว่าตอนนี้บรรยากาศของเราไม่เหมือนเดิม ผมคิดดูแล้วว่าอยากให้เธอลองห่างผมไปสักพัก เพื่อที่ผมจะได้ถามใจตัวเองว่าต้องการอย่างไรกันแน่ และเผื่อว่าถ้าเขาไปจากผมแล้วเขาจะรู้สึกว่าชีวิตเขาสบายขึ้นไม่มีพันธะ หรือภาระใดๆ ผมคิดว่าผมไม่ได้ดีกับเธอพอ ผมก็ไม่สบายใจ แล้วเมื่อเราห่างกันไปสักพักแล้ว เราค่อยมาตัดสินใจกันอีกครั้งว่าเรายังอยากอยู่ด้วยกันหรือไม่ น่าแปลกนะครับที่เธอไม่โวยวาย ไม่ต่อว่าอะไร ไม่พูดอะไรสักคำ มีอย่างเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอรู้สึกเจ็บช้ำก็คือ
น้ำตาเธอไหล
ตลอดเวลาที่เธอนั่งนิ่งๆ เป็นชั่วโมง ผมก็อึดอัดเหมือนจะบ้าตาย รู้สึกผิดและสับสน แต่ก็ทำไปแล้ว แล้วผมก็ขับรถออกจากคอนโดไป คืนนั้นผมก็ไม่ได้กลับ ไปค้างกับแฟนเก่า พอวันต่อมาที่ผมกลับเข้ามา แฟนผมเขาก็ไปแล้ว ผมก็ใจหายวาบตอนที่เห็นจดหมาลาของเธอ เธอบอกว่า...
คงถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว ฉันไม่ได้ไปเพราะอยากไป แต่คุณขอให้ฉันไป ตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับคุณ ความทุกข์ก็คงมี แต่ฉันมีความสุขมากกว่าเพราะฉันรักคุณ การที่คุณกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าฉันก็รับรู้ ถามว่าเจ็บมั๊ยก็เจ็บ แต่ฉันก็ทนได้ เพราะคิดไปว่าความรักที่มีต่อคุณมันอาจจะทำให้คุณกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่เมื่อคุณเป็นคนเอ่ยปากออกมาให้ฉันไปจากชีวิตคุณ ความอดทนของฉันมันก็สิ้นสุด แม้ฉันจะตัดสินใจจะไปแต่หากถามว่าฉันยังรักคุณมั๊ยฉันก็ยังรักเหมือนเดิม แต่ให้คิดว่าสักวันเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันได้ใหม่มั๊ย ฉันมีคำตอบให้กับตัวเองว่าไม่แน่นอน และก็เป็นคำตอบที่ฉันให้กับคุณด้วยว่า ไม่มีคำว่า เผื่อวันข้างหน้า มีแต่วันนี้ที่เรารับรู้กันว่ามันจบแล้ว มีอีกเรื่องที่ฉันอยากบอกคุณก็คือ ฉันเสียใจที่คุณไม่กล้าหาญพอที่จะบอกกับฉันว่า ที่คุณอยากให้ฉันไปเพราะคุณไม่รักฉันแล้ว คุณมีคนที่คุณรักอยู่เต็มหัวใจจนไม่มีที่ว่างจะให้ฉันอยู่ แต่อย่างไรก็ขอให้คุณโชคดีและสมหวังในสิ่งที่ต้องการ...
ครั้งแรกที่ผมได้อ่านจดหมายเธอ ผมก็ใจหายบอกไม่ถูก แต่เมื่อคิดถึงแฟนเก่าที่จะต้องใช้ชีวิตด้วยมันก็ตอบตัวเองว่า นี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผม แล้วผมก็ได้ใช้ชีวิตกับแฟนเก่าที่คอนโดของผม เวลาผ่านไปจะว่าไปผมก็รู้สึกว่ายิ่งนับวันผมก็ยิ่งลืมแฟนที่จากไปไม่ได้ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมร้อนขึ้นทุกวัน ผมไม่สามารถบรรยายได้ว่าเป็นอย่างไร แต่บรรยากาศมันต่างกันลิบกับตอนที่แฟนผมคนนั้นยังอยู่ ผมเริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อผมเริ่มมองเห็นแฟนเก่าที่อยู่ด้วยนี้ในมุมมองที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่คิดว่าเธอจะเป็นแบบนี้ เอาเป็นว่าผมเพิ่งรู้ว่าการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่สุขสงบเป็นอย่างไร ผมเริ่มเป็นทุกข์มาก ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งคิดถึงแฟนเก่า ผมตามหาเธอตลอด แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอเลย งานที่เธอทำอยู่เธอก็ลาออกไปแล้ว ผมเอาจดหมายลาของเธอมาอ่านซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ยิ่งอ่านยิ่งเจ็บปวดใจ
นึกเสียดายและเจ็บใจตัวเองที่ปล่อยให้เธอเดินไปจากชีวิตผม
วันนี้ที่ผมมาหาต้นจำปีแขกเพราะผมคิดถึงเธอ ผมเพิ่งรู้สึกว่าผมอยากปลูกต้นจำปีแขกไว้ตรงที่ระเบียงอีก อย่างน้อยก็จะได้รู้สึกอุ่นใจ หากผมต้องกลับเข้าห้องไปแล้วรู้สึกว่ายังมีเงาของเธออยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกเดียวดายมากแม้ว่าแฟนเก่าจะยังอยู่กับผมก็ตาม"
ฉันได้สนทนากับเขาสักพักในรายละเอียดของความเห็นต่างๆ เมื่อถึงเวลาเขากลับแล้ว ฉันก็คิดว่าเข้าใจความรู้สึกของเขา
คนเราก็อย่างนี้
รู้สึกเสียดายเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว
ในขณะที่มีอยู่ไม่รู้จักรักษา
จิตใจคนเราดูเหมือนจะบอบบาง
ในเวลาอ่อนแออาจจะเจ็บจนไม่สามารถกระทบได้
แต่เมื่อยามต้องทน
ก็ดูแข็งแกร่งอยางไม่น่าเชื่อ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.morninggarden.com